อินดิเคเตอร์พื้นฐาน (Basic Indicators) เป็นเครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนและนักเทรดใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค เพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อหรือขายสินทรัพย์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น, ฟอเร็กซ์, คริปโต หรือสินทรัพย์อื่น ๆ อินดิเคเตอร์เหล่านี้ใช้ข้อมูลจากราคา ปริมาณการซื้อขาย และความผันผวนของตลาดเพื่อวัดแนวโน้ม, โมเมนตัม, และจุดกลับตัวของตลาด ในบทความนี้เราจะเจาะลึกถึงอินดิเคเตอร์พื้นฐานที่สำคัญและเป็นที่นิยมมากที่สุด พร้อมวิธีการใช้งานเพื่อช่วยให้คุณเข้าใจการวิเคราะห์ตลาดได้ดีขึ้น
1. Moving Average (MA) – เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่
Moving Average (MA) เป็นหนึ่งในอินดิเคเตอร์พื้นฐานที่นักลงทุนใช้เพื่อวัดแนวโน้มของตลาด โดยเป็นการหาค่าเฉลี่ยของราคาสินทรัพย์ในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น 50 วัน หรือ 200 วัน อินดิเคเตอร์นี้ช่วยลดความผันผวนของราคาสินทรัพย์และทำให้เห็นแนวโน้มที่ชัดเจนมากขึ้น นักเทรดใช้ MA ในการวิเคราะห์จุดตัดกันของเส้น MA ระยะสั้นและระยะยาวเพื่อหาจุดเข้าหรือออกจากการเทรด
Simple Moving Average (SMA): การคำนวณค่าเฉลี่ยจากราคาปิดของสินทรัพย์ในช่วงเวลาที่กำหนด
Exponential Moving Average (EMA): คล้ายกับ SMA แต่ให้น้ำหนักกับราคาล่าสุดมากกว่า เพื่อให้การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคามีความรวดเร็วขึ้น
การใช้งาน: ถ้าราคาขึ้นเหนือเส้น MA แสดงว่าตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น และถ้าราคาลดต่ำกว่าเส้น MA แสดงว่าตลาดอาจเข้าสู่แนวโน้มขาลง
2. Relative Strength Index (RSI)
RSI เป็นอินดิเคเตอร์วัดโมเมนตัมที่ใช้วัดระดับการซื้อขายที่มากเกินไปหรือการขายที่มากเกินไปของสินทรัพย์ โดยมีค่าอยู่ระหว่าง 0-100 RSI มักถูกใช้เพื่อวัดว่าตลาดอยู่ในภาวะ “Overbought” (ซื้อมากเกินไป) หรือ “Oversold” (ขายมากเกินไป) ซึ่งสามารถบ่งบอกถึงจุดกลับตัวของแนวโน้มในตลาด
RSI ที่มีค่ามากกว่า 70 บ่งบอกว่าตลาดอาจอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป
RSI ที่มีค่าน้อยกว่า 30 บ่งบอกว่าตลาดอาจอยู่ในภาวะขายมากเกินไป
การใช้งาน: ใช้ RSI เพื่อระบุภาวะสุดขั้วของตลาด หาก RSI สูงกว่า 70 อาจเป็นสัญญาณขาย และถ้าต่ำกว่า 30 อาจเป็นสัญญาณซื้อ
3. MACD (Moving Average Convergence Divergence)
ประเภท: อินดิเคเตอร์วัดโมเมนตัมและแนวโน้ม (Momentum & Trend Indicator)
รายละเอียด: MACD เป็นการนำค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้น (เช่น EMA 12 วัน) และระยะยาว (เช่น EMA 26 วัน) มาคำนวณส่วนต่างกัน เพื่อให้ได้สัญญาณในการซื้อขาย เส้น MACD กับเส้นสัญญาณ (Signal Line) จะถูกนำมาใช้ในการระบุจุดตัดกันเพื่อบ่งบอกการซื้อหรือขาย
การใช้งาน: เมื่อลักษณะของเส้น MACD และเส้นสัญญาณตัดกันเป็นสัญญาณเข้าซื้อหรือขาย เช่น เมื่อ MACD ตัดเหนือเส้นสัญญาณแสดงถึงโอกาสซื้อ และเมื่อ MACD ตัดต่ำกว่าเส้นสัญญาณแสดงถึงโอกาสขาย
4. Bollinger Bands
ประเภท: อินดิเคเตอร์ความผันผวน (Volatility Indicator)
รายละเอียด: Bollinger Bands ประกอบด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (SMA) และเส้นสองเส้นที่ห่างจาก SMA เป็นจำนวนค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้ในการวัดความผันผวนของตลาด หากราคาขยับเข้าใกล้เส้นบน (Upper Band) อาจบ่งชี้ถึงสภาวะ Overbought ส่วนราคาที่ใกล้เส้นล่าง (Lower Band) บ่งชี้ถึงสภาวะ Oversold
การใช้งาน: ใช้ในการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของราคาโดยอิงจากระดับความผันผวนของตลาด เช่น หากราคาเบียดเส้นขอบบน อาจบ่งชี้ถึงการขาย
5. Stochastic Oscillator
ประเภท: อินดิเคเตอร์วัดโมเมนตัม (Momentum Indicator)
รายละเอียด: Stochastic Oscillator ใช้ในการเปรียบเทียบราคาปิดล่าสุดของตลาดกับช่วงราคาสูงต่ำในช่วงเวลาที่กำหนด (ปกติ 14 วัน) มีค่าอยู่ระหว่าง 0 ถึง 100 โดยค่าที่สูงกว่า 80 บ่งบอกถึงภาวะ Overbought และค่าต่ำกว่า 20 บ่งบอกถึงภาวะ Oversold ซึ่งช่วยในการหาจุดกลับตัว
การใช้งาน: ใช้ในการหาสัญญาณการซื้อและขาย โดยการตัดกันของเส้น %K และ %D สามารถบ่งบอกถึงจังหวะที่เหมาะสมในการเทรด
สรุป
อินดิเคเตอร์พื้นฐานเหล่านี้เป็นเครื่องมือที่นักเทรดและนักลงทุนสามารถใช้เพื่อช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มและจังหวะการซื้อขายได้อย่างแม่นยำมากขึ้น โดยการผสานอินดิเคเตอร์หลาย ๆ ตัวเข้าด้วยกัน คุณสามารถเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจและลดความเสี่ยงในการลงทุน
การซื้อขายอนุพันธ์มีความเสี่ยงสูงและอาจไม่เหมาะสําหรับทุกคน