ส่องมุมมองการลงทุนปี 2025 แนวโน้มสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตา
Goldman Sachs คาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2025 จะเติบโต 2.7% โดยสหรัฐฯ เป็นผู้นำการเติบโตที่ 2.5% ขณะที่ยูโรโซนขยายตัวเพียง 0.8% การเลือกตั้งใหม่ของทรัมป์อาจกระตุ้นการขึ้นภาษีและลดการเติบโต แต่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังได้รับแรงสนับสนุนจากตลาดแรงงานที่แข็งแกร่งและเงินเฟ้อที่ลดลงเข้าสู่เป้าหมายของธนาคารกลาง ความเสี่ยงสำคัญคือภาษีศุลกากรแบบครอบคลุมที่จะกระทบการเติบโตทั่วโลกอย่างหนัก
ปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในปี 2025
ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ การเลือกตั้งครั้งนี้อาจมีอิทธิพลอย่างมากต่อตลาดหุ้นในปีถัดไป โดยเฉพาะผลของนโยบายใหม่ที่อาจถูกนำมาใช้
นโยบายภาษีศุลกากรและการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ หากสหรัฐฯ เพิ่มภาษีศุลกากร อาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวและเผชิญกับเงินเฟ้อเรื้อรังต่อเนื่องถึงปี 2026
อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย ปัจจัยเหล่านี้จะยังคงเป็นตัวแปรสำคัญในเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลก
ความก้าวหน้าในเทคโนโลยี AI เทคโนโลยี AI จะยังคงสร้างผลกระทบเชิงบวกในแง่การเติบโตของรายได้และการปรับตัวของราคาหุ้น
พัฒนาการทางเศรษฐกิจโลก การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนอย่างต่อเนื่องอาจกดดันการเติบโตของตลาดหุ้นโลก โดยเฉพาะผลกระทบต่อความต้องการสินค้าส่งออกจากสหรัฐฯ
ความขัดแย้งในยูเครนและตะวันออกกลาง แม้ยังไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อตลาดการเงินสหรัฐฯ แต่หากสถานการณ์รุนแรงขึ้น อาจส่งผลต่อการค้าโลกและอุปทานสินค้าโภคภัณฑ์
ภาคส่วนสำคัญที่ต้องจับตามองในปี 2025
สามภาคส่วนที่น่าสนใจสำหรับปีหน้า ได้แก่ เทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ และพลังงาน
1. เทคโนโลยี
บริษัทวิจัยตลาด IDC คาดการณ์ว่า การใช้จ่ายทั่วโลกในด้าน AI จะเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวระหว่างปี 2024 ถึง 2028 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 29% การลงทุนเหล่านี้จะมุ่งไปที่แอปพลิเคชันที่ใช้ AI, ฮาร์ดแวร์ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ระบบจัดเก็บข้อมูล และเซิร์ฟเวอร์ รวมถึงบริการที่เกี่ยวข้องอย่างการประมวลผลบนคลาวด์
2.Healthcare
McKinsey คาดการณ์ว่ากำไรจากธุรกิจดูแลสุขภาพจะเติบโตที่อัตรา CAGR 7% ระหว่างปี 2022 ถึง 2027 ปัจจัยที่คาดว่าจะเป็นแรงผลักดันกำไรหลังจากปี 2024 ได้แก่ ประสิทธิภาพด้านต้นทุนและอัตราการชดใช้ที่สูงขึ้น
3.พลังงาน
เมื่อภาคเทคโนโลยีเติบโตขึ้น ความต้องการพลังงานก็เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย โดยสถาบันวิจัยพลังงานไฟฟ้า (EPRI) ประเมินว่าแชทบอท AI เช่น ChatGPT ใช้ไฟฟ้ามากกว่าการค้นหาทางอินเทอร์เน็ตถึง 10 เท่า
ความเสี่ยงและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น
ความผันผวนจะเป็นความท้าทายหลักสำหรับนักลงทุนในปี 2025 ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับปัจจัยที่กล่าวถึงข้างต้น ตั้งแต่ผลการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ไปจนถึงความขัดแย้งในต่างประเทศ แทบจะรับประกันได้ว่าตลาดจะมีทั้งวันที่ดีและวันที่ไม่ดี
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องเป็นปีที่สาม ท่ามกลางการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและการเติบโตของผลประกอบการที่ต่อเนื่อง ตามรายงานของ Goldman Sachs Research
Goldman Sachs คาดการณ์ว่า S&P 500 จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 6,500 ภายในสิ้นปี 2025 ซึ่งจะเพิ่มขึ้น 7%-10% จากระดับปัจจุบันที่ 6,086 ณ วันที่ 5 ธันวาคม โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของ GDP จริงที่ 2.5% และอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง นโยบายการค้าและการลดภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของกำไร
ความเสี่ยงหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปีหน้า
ความเสี่ยงหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปี 2025 ได้แก่ มูลค่าหุ้นที่สูง ซึ่งเพิ่มความรุนแรงของการปรับฐานเมื่อเกิดปัจจัยลบ ความเสี่ยงด้านนโยบาย เช่น การเพิ่มภาษีศุลกากรในวงกว้าง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น ซึ่งอาจกดดันตลาดหุ้น ในทางตรงกันข้าม นโยบายการคลังที่เอื้อต่อเศรษฐกิจหรือการปรับลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมจาก Fed อาจช่วยเพิ่มผลตอบแทนในตลาดได้
น้ำมัน
องค์กรข้อมูลด้านพลังงาน (EIA) คาดการณ์น้ำมันล้นตลาดในปี 2025 แนวโน้มราคาน้ำมันซบเซา โดยอุปทานจะเพิ่มขึ้นจากผู้ผลิตนอกกลุ่ม OPEC+ ขณะที่การเติบโตของความต้องการน้ำมันจะลดลงจากปัจจัยเศรษฐกิจที่อ่อนแอและการบริโภคที่คงตัวหลังยุคโควิด นอกจากนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันราคาน้ำมันโดยทำให้สินค้าที่ซื้อขายเป็นดอลลาร์มีราคาแพงขึ้นในตลาดโลก
U.S. Dollar Index
Standard Chartered คาดว่าค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนตัวในช่วงต้นปี 2025 จากการลดดอกเบี้ยของ Fed และความไม่แน่นอนด้านนโยบาย แต่ในภาพรวมตลอดปี ค่าเงินดอลลาร์น่าจะแข็งค่าขึ้นอีกครั้ง รายงานระบุว่า เมื่อมีการกำหนดนโยบายด้านภาษีและภาษีนำเข้าอย่างชัดเจนภายใต้รัฐบาล Trump ในสมัยที่สอง ค่าเงินดอลลาร์น่าจะกลับมาแข็งค่าอีกครั้ง โดยการแข็งค่าของดอลลาร์ในระยะยาวจะถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยด้านโครงสร้างเศรษฐกิจมากกว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น
Standard Chartered ยังแสดงความกังขาต่อประสิทธิภาพของภาษีนำเข้าในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในระยะสั้น ปัจจัยลบทางเศรษฐกิจเหล่านี้ทำให้สถาบันเชื่อว่า Fed อาจลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ในปัจจุบัน
ในบริบทโลก สถาบันการเงินนี้ระบุว่าการแข็งค่าของ USD และอัตราดอกเบี้ยที่สูงในสหรัฐอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ต้องการนโยบายการเงินแบบเข้มงวดซึ่งอาจทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้นลดลง
ทองคำ
Goldman Sachs คาดว่าราคาทองคำจะเพิ่มขึ้นแตะ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในปี 2025 ได้รับแรงหนุนจากการซื้อทองของธนาคารกลางและการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ปัจจัยเสริมคือการสนับสนุนจากทรัมป์ในสมัยที่สอง โดยเฉพาะหากเกิดความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การเลือกซื้อทองคำเพิ่มขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยจากธนาคารกลางและการเก็งกำไรอาจช่วยให้ราคาทองคำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สกุลเงินดิจิตอล (Cryptocurrency)
Bitwise ผู้จัดการกองทุนดัชนีสกุลเงินดิจิทัลชั้นนำ คาดการณ์ว่าราคาของ Bitcoin ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมสูงสุด อาจพุ่งไปถึง 200,000 ดอลลาร์ในปี 2025
ในขณะเดียวกัน Ethereum ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลทางเลือกที่ใหญ่ที่สุด มีการคาดการณ์ว่าจะพุ่งสูงถึง 7,000 ดอลลาร์ การลงทุนของสถาบัน การยอมรับขององค์กร ปัจจัยมหภาค เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ และกฎระเบียบที่เป็นมิตร ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้อุตสาหกรรมสกุลเงินดิจิทัลเติบโตในปี 2025
Coinbase ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายคริปโตชั้นนำ ถูกคาดว่าจะมีมูลค่าทะลุ Charles Schwab และเข้าสู่ดัชนี S&P 500 ได้สำเร็จ นอกจากนี้ Bitwise ยังคาดว่าการยอมรับ Bitcoin ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น โดยอาจมีประเทศที่ถือครอง Bitcoin เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยลบที่อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มตลาดคริปโต เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ที่อาจไม่เป็นไปตามความคาดหวัง การชะลอตัวของกระแส Meme Coin ซึ่งอาจส่งผลลบต่อตลาดคริปโตโดยรวม
การซื้อขายอนุพันธ์มีความเสี่ยงสูงและอาจไม่เหมาะสําหรับทุกคน