การซื้อขายในตลาด Forex นอกจากการมีวิธีการเทรดที่ถูกต้องแล้ว การบริหารจัดการเงินก็ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเทรดระยะสั้น (Day Trade) หรือลงทุนระยะยาว ต่างก็มีข้อจำกัดในการใช้เงินลงทุน Money Management จะเป็นตัวช่วยให้การเทรดทำกำไรได้มากที่สุด หากไม่มีกฎการจัดการเงินที่เข้มงวด เทรดเดอร์อาจจะเผชิญหน้ากับการขาดทุนได้ง่าย
Money Management คือ กลยุทธ์หรือการวางแผนการใช้เงิน เพื่อให้ระบบการลงทุนเป็นระเบียบมากขึ้นครอบคลุมตั้งแต่บุคคล องค์กร ตลอดจนตลาดการเงิน เพื่อให้การลงทุนมีประสิทธิภาพมากที่สุด
สำหรับตลาด Forex แล้ว Money management คือ แบบแผนการจัดการที่เทรดเดอร์ปฏิบัติตามเพื่อจัดการเงินในพอร์ตให้มีประสิทธิภาพ ลดการขาดทุน และให้เพิ่มผลกำไรสูงสุด มักจะเกี่ยวข้องกับการใช้เทคนิคในการจัดการเงินทุน มีจุดมุ่งหมายเดียวคือการรักษาทุนของเทรเดอร์ลดสูญเสีย ทำกำไรให้สูงสุด มีการจัดการทุนที่ดี กำหนด Position size ที่เหมาะสม และจัดการความเสี่ยงด้วยการใช้ Stop Loss และ Profit Target
Money Management ในตลาด Forex มีลักษณะที่แตกต่างจากการจัดการความเสี่ยง ด้วยการจัดการความเสี่ยงหมายถึงการวิเคราะห์ และประเมินความเสี่ยงทั้งหมดในการเทรดเพื่อป้องกันการขาดทุน ในขณะที่ Money Management จะมุ่งไปที่การจัดการเงินในการลงทุน เพื่อลดการสูญเสียให้เหลือน้อยที่สุด
Money Management คือสิ่งสำคัญในการเทรด Forex ที่จะช่วยให้เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ ด้วยเป็นการลงทุนในตลาดที่มีความผันผวนและน่าดึงดูดมาก การเทรดโดยไม่มีแบบแผนมักจะเสี่ยงต่อความล้มเหลวอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากเทคนิคการเทรดที่คุณจะต้องเรียนรู้ การบริหารจัดการเงินเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องศึกษา
Money Management จะช่วยให้เทรดเดอร์ทราบความเป็นมาของเงินไม่ว่าจะเป็นของส่วนของกำไรและขาดทุน เทรดเดอร์สามารถควบคุมการเทรดของท่านเองได้ง่าย เพื่อไม่ให้เทรดเยอะจนเกินไป และสามารถช่วยในการกำหนดแนวทางของแผนทางการเงินใน Portolio กำหนดจุดที่จะ Cut Loss หรือจุด Take Profit จากการลงทุน ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะขาดทุน หรือพอร์ตแตกได้ การจัดการทุนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้คุณอยู่ในเกมและป้องกันการล้มละลาย ดังนั้นการเรียนรู้การจัดการทุนให้มีประสิทธิภาพอาจช่วยประหยัดเงินและป้องกันความสูญเสียหนักในอนาคต
1.ตั้งเป้าที่จะเทรด และประเมินความคุ้มค่าในก่อนตัดสินใจลงทุน
ดูที่ผลกำไรและความเสี่ยงที่จะขาดทุน (Risk) ของการลงทุน หรือที่เรียกว่า Risk/Reward Ratio ว่าผลตอบแทนคุ้มค่าไหม
2.กำหนดจำนวนเงินทุนที่เสี่ยงขาดทุนได้สูงสุด โดยไม่ควรเกิน 2 – 5% ของเงินทุน
3.เริ่มวางแผนแบ่งสรรเงินทุน และกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ให้คุ้มค่ามากขึ้น ควรมีการจำกัดจำนวนเงินทุนที่ใช้เทรดในแต่ละครั้ง เก็บเงินที่เหลือไว้เป็นทุนสำรอง เพื่อป้องกันการขาดทุนในกรณีฉุกเฉิน หรือตอนนี้ตลาดเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน
4.มีการคำนวณจำนวนสินทรัพย์อยู่เสมอ เพื่อดูผลกำไรและขาดทุน
1.การกระจายสินทรัพย์ ในการซื้อสินทรัพย์แต่ละครั้ง เทรดเดอร์ไม่ควรลงเงินทั้งหมด (All-in) ไปกับสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง ควรกระจายเงินทุนไปในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ถือเป็นกลยุทธ์บริหารการเงินที่จะช่วยเทรดเดอร์ลดความเสี่ยงในการลงทุน
2.“กฎ 2%” กฎที่ช่วยกำหนดจำนวนเงินสูงสุดที่สามารถยอมรับได้ในกรณีที่ต้องขาดทุน โดยทั่วไปไม่ควรรับความเสี่ยงเกิน 2% จากจำนวนเงินที่ลงทุนแต่ละครั้ง
3.Recovery Rate
อัตราการกู้คืน ซึ่งมีการนำมาใช้เพื่อวัดความสามารถในการฟื้นตัวของบัญชีการเทรดหลังจากที่ได้รับความสูญเสียหรือการดึงดูด
Recovery Rate คำนวณจากสูตร:
Recovery Rate = ( Profit from Recovery / Maximum Drawdown) × 100
Profit from Recovery คือ กำไรที่ได้รับหลังจากการดึงดูดหรือความสูญเสีย
Maximum Drawdown คือ ความดุลเดือนที่มากที่สุดที่เกิดขึ้นในบัญชีการเทรด
Recovery Rate ถูกนำมาใช้เพื่อวัดว่าบัญชีการเทรดมีความสามารถในการฟื้นตัวหรือกลับมาสู่สภาพปกติได้มากน้อยแค่ไหนหลังจากได้รับความสูญเสีย การมี Recovery Rate ที่สูงสุดแสดงถึงความสามารถในการกู้คืนที่ดี ในขณะที่ Recovery Rate ที่ต่ำอาจแสดงถึงความยากลำบากในการฟื้นตัวหรือทำกำไร
4.การวาง Risk & Reward
คือ อัตราส่วนความเสี่ยงเปรียบเทียบกับผลตอบแทนที่เป็นไปได้สำหรับการซื้อขาย เป็นการเปรียบเทียบกันระหว่างกำไรกับการขาดทุน โดยอัตราส่วนที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 1:3 หมายความว่ากำไรเป้าหมายของคุณมากกว่าการขาดทุนที่คุณคาดไว้ 3 เท่า ยิ่งตั้งอัตราส่วน Risk & Reward สูงเท่าใด เทรดเดอร์ก็จะทำกำไรได้มากเท่านั้นหากตลาดไปในทิศทางที่คาดไว้ และด้วยวิธีนี้จะสามารถหลีกเลี่ยงการสูญเสียจากการเทรด
Risk-Reward Ratio= Reward per Trade / Risk per Trade
โดยที่:
Risk per Trade คือ ร้อยละของทุนที่นักเทรดยอมรับในการเสี่ยงในแต่ละการเทรด
Reward per Trade คือ ร้อยละของกำไรที่นักเทรดมีเป้าหมายที่จะทำได้ในแต่ละการเทรด
5.ลงทุนในสิ่งที่สามารถรับมือกับความสูญเสียได้
การเทรดเฉพาะสิ่งที่คุณสามารถจะเสียได้ ตั้งค่าการขาดทุนสูงสุดที่ยอมรับได้ต่อเดือน หากมีการขาดทุนมากกว่าที่ตั้งไว้ให้หยุดการซื้อขายทันที
6.ระมัดระวังการใช้เลเวอเรจ
เลเวอเรจช่วยให้เทรดเดอร์ Forex เปิด Position ที่ใหญ่กว่าที่เงินทุน เทรดเดอร์กำลังยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อเปิดสถานะเลเวอเรจ ตัวอย่างเช่น หากเทรดเดอร์มีเลเวอเรจ 1:20 พวกเขาสามารถเปิดตำแหน่งมูลค่า 10,000 ปอนด์ด้วยเงินเพียง 500 ปอนด์ในบัญชีของพวกเขา
เลเวอเรจหากมีการใช้อย่างถูกต้อง ก็สามารถทำกำไรให้เทรดเดอร์ได้เป็นอย่างมาก แต่เลเวอเรจก็เป็นดาบสองคม ผลกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการเทรดที่ชนะอาจจะกลายเป็นการขาดทุนที่เพิ่มขึ้นจากการเทรดที่แพ้ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะใช้เลเวอเรจอย่างระมัดระวัง
7.ใช้ stop-loss อยู่เสมอ เป็นส่วนสำคัญของแผนการลงทุน Forex เป็นกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงยอดนิยมที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดจุดออกที่กำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับการซื้อขาย กลยุทธ์นี้ช่วยให้แน่ใจว่าเทรดเดอร์จำกัดการขาดทุนและไม่ปล่อยให้การเทรดขาดทุนนานเกินไป
8.การใช้ Cut Loss
คือ การตัดขาดทุน จะเป็นตัวช่วยตัดความเสี่ยงในการขาดทุนก่อนจะเกิดการขาดทุนจนเกินจะรับมือได้ โดยการขายสินทรัพย์ที่เสี่ยงต่อ Margin Call ออกไปไม่ให้ขาดทุนหนักกว่าเดิมเพื่อป้องกันเงินทุนที่เหลืออยู่
9. การหา Position Sizing ที่เหมาะสมกับการเทรด
การกำหนดขนาดตำแหน่งที่เหมาะสมตามขนาดของบัญชีการซื้อขายและความเสี่ยงที่เทรดเดอร์รับได้ กลยุทธ์นี้จะช่วยให้เทรดเดอร์จะไม่เสี่ยงกับเงินทุนในการเทรดมากเกินไป
Position Size = Stop Loss per Trade / Risk per Trade
โดยที่:
Position Size คือ ขนาดของตำแหน่งที่ควรทำการซื้อหรือขาย
Risk per Trade คือ ร้อยละของทุนที่นักเทรดยอมรับในการเสี่ยงในแต่ละการเทรด
Stop Loss per Trade คือ ระยะห่างที่นักเทรดตั้งไว้สำหรับ Stop Loss
10.หลีกเลี่ยงการเทรดด้วยอารมณ์ เพราะสามารถนำพาเทรดเดอร์ให้ทำการตัดสินใจที่ผิดพลาดได้ เมื่อมีการสูญเสียเกิดขึ้นอาจจะทำให้เทรดเดอร์อยากได้เงินคืนด้วยการเทรดแบบขาดสติ จนลืมคิดวิเคราะห์ตลาดให้ดีๆ หรือเกิดควมโลภอยากได้กำไรจากการเทรดเยอะๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากอารมณ์ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่งยิ่งที่เทรดเดอร์ไม่ควรให้อารมณ์อยู่เหนือการเทรด
11.”Win Rate” อัตราการชนะ, หรือ สัดส่วนของการเทรดที่ทำกำไรต่อทั้งหมดของการเทรด. Win Rate จะถูกคำนวณโดยนับจำนวนการเทรดที่ทำกำไรและนับทั้งหมดของการเทรด, แล้วนำมาคูณด้วย 100 เพื่อแปลงให้เป็นร้อยละ
สูตร Win Rate:
Win Rate = (Number of Winning Trades / Total Number of Trades) × 100
โดยที่:
Number of Winning Trades คือ จำนวนของการเทรดที่ทำกำไร
Total Number of Trades คือ จำนวนทั้งหมดของการเทรดที่ทำไป
ตัวอย่าง: ถ้ามี 60 การเทรดที่ทำกำไรและทั้งหมดมี 100 การเทรดทั้งหมด Win Rate จะเท่ากับ
Win Rate=(100/60)×100=60%
Win Rate เป็นตัวบ่งชี้ที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพของกลยุทธ์การเทรด แต่ต้องทราบว่า Win Rate อย่างเดียวไม่สามารถบอกเกี่ยวกับความกำไรหรือความเสี่ยงทั้งหมดได้ คุณต้องพิจารณา Win Rate ร่วมกับ Risk-Reward Ratio เพื่อประเมินความสมดุลของการเทรดในระยะยาวและระยะสั้น
Money Management เป็นระบบที่สำคัญเป็นอย่างมากสำหรับการเริ่มเทรด จะเป็นตัวช่วยในการวางแผนจัดการการเงิน ให้คุณเห็นภาพการเทรดที่ชัดเจนด้วยคำนวณกำไรขาดทุนโดยเปรียบเทียบกับเงินทุน เทรดเดอร์จะทราบว่าจุดไหนควรหยุดเทรด หรือไปต่อ ถือเป็นการบริหารเงินในพอร์ตที่มีประสิทธิภาพและเพิ่มโอกาสทำกำไรมากขึ้น
การซื้อขายอนุพันธ์มีความเสี่ยงสูงและอาจไม่เหมาะสําหรับทุกคน
เรียนลูกค้าผู้มีอุปการคุณ โปรดตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงชั่วโมงซื้อขายของผลิตภัณฑ์ต่อไปนี้ตามวันหยุดประจำเดือนธันวาคม โปรดดูตารางด้านล่างสำหรับตราสารอนุพันธ์ที่จะมีการเปลี่ยนแปลง: วันที่ 24 ธันวาคม 2024 (วันอังคาร) 25 ธันวาคม 2024 (วันพุธ) 26 ธันวาคม 2024…
เรียนลูกค้าผู้มีอุปการคุณ โปรดตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงชั่วโมงซื้อขายของผลิตภัณฑ์ต่อไปนี้ตามวันหยุดประจำเดือนธันวาคม โปรดดูตารางด้านล่างสำหรับตราสารอนุพันธ์ที่จะมีการเปลี่ยนแปลง วันที่ 16 ธันวาคม 2024 (วันจันทร์) 23 ธันวาคม 2024 (วันจันทร์) วันหยุด วันแห่งการปรองดอง คริสต์มาสอีฟ…
Dear Valued Clients, The global gold market has experienced significant volatility recently, with market liquidity…
เรียนลูกค้าผู้มีอุปการคุณ ขอเรียนให้ทราบว่าผลิตภัณฑ์ซื้อขาย CFD ต่อไปนี้จะโรลโอเวอร์อัตโนมัติตามวันที่ระบุไว้ในตารางด้านล่างนี้ เนื่องจากอาจมีความแตกต่างของราคาระหว่างสัญญาเก่าและใหม่ จึงขอแนะนำให้ลูกค้าตรวจสอบและจัดการโพสิชันของคุณตามความเหมาะสม วันหมดอายุ: สัญลักษณ์ คำอธิบาย วันที่ JPN225ft Japan 225 Index Future…
ในการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ นักลงทุนควรใช้ตัวชี้วัดการเทรดที่มีประสิทธิภาพเพื่อประเมินผลการลงทุนของตนเอง ตัวชี้วัดเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยในการตัดสินใจในการซื้อขาย แต่ยังช่วยให้คุณวัดประสิทธิภาพและปรับปรุงกลยุทธ์การลงทุนของคุณได้อย่างต่อเนื่อง นี่คือตัวชี้วัดสำคัญที่นักลงทุนทุกคนควรรู้ 1. อัตราการชนะ (Win Rate) คือสัดส่วนของจำนวนการเทรดที่ประสบความสำเร็จเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนการเทรดทั้งหมดที่ดำเนินการ โดยเป็นตัวชี้วัดที่ช่วยในการประเมินประสิทธิภาพของกลยุทธ์การลงทุนหรือการเทรด อัตราการชนะบ่งบอกถึงความสามารถในการทำกำไรจากการเทรด และเป็นข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้คุณทราบว่าแนวทางการเทรดของคุณมีประสิทธิภาพเพียงใด วิธีการคำนวณ: ตัวอย่าง:…
เรียนลูกค้าผู้มีอุปการคุณ โปรดตรวจสอบตารางการเปลี่ยนแปลงชั่วโมงซื้อขายประจำเดือนพฤศจิกายนด้านล่างนี้ โปรดดูตารางด้านล่างสำหรับตราสารอนุพันธ์ที่จะมีการเปลี่ยนแปลง: วันที่ 27 พฤศจิกายน 2024(วันพุธ) 28 พฤศจิกายน 2024(วันพฤหัส) 29 พฤศจิกายน 2024(วันศุกร์) 30 พฤศจิกายน…